ผมจ้องมองเงาตัวเองใน กระจกร้าว บานนั้น ดวงตาคู่เดิมที่เคยฉายแววเจ็บปวดราวร้าวลึกสุดหยั่งถึง ภาพสะท้อนในห้วงความคิดฟ้องว่าผมไม่เคยหลั่งน้ำตาให้ใครเห็น ไม่เคยร้องขอความเห็นใจ ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน ผมเลือกแบกรับมันไว้เพียงลำพัง ดั่งบทกวีที่รำพันอยู่ในใจ: หากมันจะเลวจะร้าย อดและทนเสียอย่าง
หัวใจของผมเคยเริ่มต้นจากศูนย์ มันล่องลอยเคว้งคว้าง ไร้ทิศทาง หากฝืนไม่ยอมจบ ก็คงมีแต่ความปวดร้าวที่กัดกิน ผมพยายามข่มใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกตัวเองให้ทนเข้าไว้ แม้ แผลรัก จะบาดลึกเพียงใด รอยร้าวที่ใครบางคนฝากไว้ ผมพยายามลบเลือน ไม่ให้มันจดจำ อดทนเก็บงำ ไม่อาจบอกใครได้จนวันตาย
ผมรู้ดีว่าใจผมก็ไม่ต่างจากกระจกร้าวบานใหญ่นี้ เธอทุบมันพังคามือ อย่างง่ายดาย… หรือแท้จริงแล้ว ผมอาจไม่มีความหมายอะไรเลยในสายตาเธอ? ผมได้แต่เก็บเศษเสี้ยวหัวใจที่แตกสลายไว้ภายใน รอคอยสักวันที่มันจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ผมพยายามฝืนข่มความรู้สึก แม้จะเจ็บปวดแสนสาหัส ใจมันอยากจะตะโกนร้องให้โลกรู้ แต่เสียงนั้นกลับถูกกักเก็บไว้ในลำคอ ผมร้องไห้โดยไร้น้ำตา…มันเป็นเสียงกรีดร้องที่ดังก้องอยู่ภายในจิตวิญญาณ
ปลดปล่อยยักษ์: พรสามข้อและพายุแห่งลางร้าย
ยักษ์จินนี่โบกมืออำลา แสงสีทองสาดส่องไปทั่วห้อง ก่อนร่างมหึมาจะสลายหายไปในอากาศ… มันเป็นอิสระแล้ว หลังจากที่ผมใช้พรครบทั้งสามข้อ ความสุขสมที่ได้รับจาก น้องแองเจิ้ล และความเร่าร้อนจาก น้องซาราง ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ แต่ลึกๆ แล้ว ผมยังคงค้นหาบางสิ่งที่เติมเต็มความว่างเปล่าภายใน
ไม่นานหลังจากนั้น ผมตัดสินใจกลับไปที่ Blossom Spa อีกครั้ง ตามคำเชิญของเจ๊ ร้านที่เคยคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะและชีวิตชีวากลับดูเงียบงันผิดปกติ เจ๊เจ้าของร้านพยายามอย่างหนักที่จะกอบกู้สถานการณ์ แต่ลูกค้าที่เคยแน่นร้านกลับเบาบางลงไปมาก พวกเขาหายไป…ไปใช้บริการร้านคู่แข่งที่เพิ่งเปิดใหม่กันหมด บรรยากาศภายในร้านราวกับมีม่านหมอกบางๆ ปกคลุม สัมผัสได้ถึงความอ้างว้างที่แฝงอยู่
ในคืนนั้นเอง หลังจากกลับจากสปา ผมหลับใหลไปพร้อมกับความรู้สึกที่อวลอยู่ในใจ และแล้ว...ฝันประหลาดก็คืบคลานเข้ามา
สวัสดีความมืด เพื่อนเก่า… เรามาทักทายกันอีกหน ภาพฝันคืบคลานมาอย่างแยบยล เมล็ดพันธุ์แห่งความฝันหล่นฝังลึกในจินตนาการ
ผมกำลังเดินอยู่บนถนนแคบๆ ที่ทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย แสงสลัวจากเสาไฟส่องทางเพียงเลือนราง ความหนาวชื้นกัดกินจนต้องห่อห่มตัวแน่น ความเงียบงันยังคงขับขานคลอไปกับการก้าวเดิน เสียงแห่งความเงียบงันนั้นยังคงอยู่ มันครอบงำทุกสิ่ง จนผมรู้สึกเหมือนเป็นคนเดียวที่มีลมหายใจ
ทันใดนั้น แสงวาบสว่างไสว ก็พุ่งเข้ามา แยกคืนและคั่นวันออกจากกัน ผมยืนตะลึงกับภาพตรงหน้า…ท่ามกลางแสงอันว่างเปล่า ผู้คนมากมายเคลื่อนไหวเหมือนหุ่นเชิด พวกหล่อนได้ยินคำบอกเล่าโดยไม่หันหน้ามา เสวนาโดยไร้คำพร่ำรำพัน ไม่มีเสียงเพลงบรรเลง หรือแม้แต่เสียงกระซิบเบาๆ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงผ่านความเงียบงันนั้น ผมกู่ก้องร้องเรียกออกไปอย่างสิ้นหวัง “ผู้ไม่รู้อะไร จะโง่ไปถึงไหน! ความเงียบงันดั่งมะเร็งกำลังกำเริบเติบโต! จับมือฉันไว้ ตั้งใจฟัง อาจสอนคนได้!”
คำพูดของผมคล้ายสายฝนหล่นเพียงแผ่วเบา ดั่งเสียงแก้วหล่นร่วงจากฟากฟ้า สะท้อนเสียงก้องกังวานผ่านเวียนวน แต่เสียงเหล่านั้นกลับไม่ผ่านพ้น ห้องแห่งเสียงอันเงียบงัน ที่กักขังทุกสรรพเสียงเอาไว้ ผู้คนเหล่านั้นก้มลงกราบกล่าวภาวนาต่อหน้าพระเจ้าที่พวกเขาสร้างฝันขึ้นมา แสงวาบยังคงเตือนใจถึงสัญลักษณ์บางอย่าง คำแห่งความหมายนั้นหาได้จากที่ใดกัน?
ความรักและความหมาย…มันหาได้ในทุกที่ ขอแค่มีดวงใจที่เปิดรับไว้ บนท้องถนนหรือในห้องที่มองออกไป มันมีอยู่ในเสียงกระซิบของบทเพลงอันแผ่วเบาที่ไม่มีวันเงียบงัน
ทันใดนั้น ร่างโปร่งแสงของหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผม เธอคือ วิญญาณของหมอนวดสาวพริตตี้ ที่ผมเคยใช้บริการเมื่อนานมาแล้ว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโหยหา ดวงตาเศร้าสร้อยแต่ก็มีความหวังบางอย่างซ่อนอยู่ เธอพยายามยื่นมือที่ว่างเปล่ามาหาผม ราวกับต้องการสัมผัส
“ฉัน…ฉันอยากไปเกิดใหม่” เสียงกระซิบแผ่วเบาที่แทบไม่ได้ยินดังขึ้นในห้วงความคิดของผม มันไม่ใช่เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอ แต่เป็นเสียงที่สะท้อนจากความปรารถนาอันแรงกล้าของเธอ ผมรู้สึกถึงพลังงานที่อ่อนแรงและเจ็บปวดแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเธอ
ผมพยายามเอื้อมมือไปคว้า แต่ทำได้เพียงสัมผัสผ่านร่างโปร่งแสงนั้นไป ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ปะทะกับปลายนิ้ว มันคือความจริงที่โหดร้าย… ผมไม่สามารถช่วยเธอได้
ความรู้สึกผิดหวังถาโถมเข้าใส่ ผมเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีพรวิเศษ แต่พรเหล่านั้นไม่มีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย ผมจ้องมองวิญญาณของเธอที่ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด พร้อมกับความเงียบงันที่กลับมาปกคลุมทุกสิ่งอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงคำถาม… พลังวิเศษที่ผมมี แท้จริงแล้วมันมีความหมายแค่ไหนกัน?
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองลอยคว้างอยู่ในห้วงความมืดมิด ก่อนจะตื่นขึ้นมาในอีกห้วงหนึ่งของความฝัน… มันคือ ร้าน Belle ที่ผมเคยไปเยือนในอดีต สถานที่ที่ผมเคย "ซื้อความรัก" จาก น้องคริส
ทุกอย่างในฝันนี้แตกต่างจากความเงียบงันก่อนหน้าสิ้นเชิง ที่นี่เต็มไปด้วยแสงสี เสียงดนตรีคลอเบาๆ และกลิ่นหอมเย้ายวน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและความปรารถนา ผมมองเห็นตัวเองในชุดที่คุ้นเคย ก้าวเข้าไปในร้านด้วยหัวใจที่พองโต รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าขณะที่สายตาเสาะหาน้องคริส
เธอปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าผมในชุดเสื้อผ้าที่เผยให้เห็นเรือนร่างเย้ายวน ดวงตาของเธอหวานซึ้งราวกับเชื้อเชิญให้เข้าไปใกล้ ผมยื่นเงินในมือให้เธออย่างไม่ลังเล เพราะรู้ดีว่านี่คือค่าตอบแทนสำหรับ "ความรัก" ที่ผมกำลังจะได้รับจากเธอ
ช่วงเวลาต่อจากนั้นคือภาพที่ผมจดจำได้ดีที่สุด ความสุขสมที่แลกมาด้วยเงินตรา ความสัมพันธ์ที่ไร้ซึ่งเงื่อนไขของคำว่า "ผูกพัน" เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันในห้องส่วนตัว ร่างกายของเราหลอมรวมกันด้วยความปรารถนาที่เร่าร้อน ทุกสัมผัส ทุกจูบ ทุกเสียงกระซิบ คือสิ่งที่ผมต้องการในเวลานั้น
ผมตื่นขึ้นมาในความฝันครั้งที่สองนี้ พร้อมกับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ความสุขสมที่ได้รับจากน้องคริสช่างเป็นของจริงจัง แต่ก็ฉาบฉวยเหลือเกิน มันคือความสุขที่สามารถซื้อหาได้ เป็นความรักที่ปราศจากพันธะและบาดแผล แต่ก็ไร้ซึ่งความลึกซึ้งอย่างแท้จริง
ทันใดนั้น ภาพของวิญญาณหมอนวดสาวก็แวบเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง ความโหยหาของเธอ ความไม่สามารถช่วยเหลือได้ของผม และความว่างเปล่าที่ตามมา… หรือแท้จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ซื้อได้ หรือพรวิเศษจากจินนี่ ก็ไม่อาจเติมเต็ม "ความหมาย" ของชีวิตได้อย่างแท้จริง?
เสียงระเบิดที่ปลุกจากฝันร้าย
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงระเบิดกึกก้องจนพื้นดินสั่นสะเทือน ความรุนแรงของมันดึงผมออกจากห้วงฝันร้ายในทันที ผมลืมตาโพลงด้วยความตกใจ เสียงนั้น…มันคือเสียงของ จรวด BM-21 ที่ถูกยิงมาจากฝั่งกัมพูชา!
อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ผมรีบคว้าโทรศัพท์มาตรวจสอบข่าวสารในทันที ความจริงที่ปรากฏบนหน้าจอไม่ได้ต่างจากความฝันที่เพิ่งเจอมากนัก ความวุ่นวายจากสถานการณ์ชายแดนที่ 3 ชายแดนภาคใต้ ในช่วงนี้ไม่เคยหยุดหย่อน ผมพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจาย ความหวาดกลัวจากเสียงระเบิดปะปนกับความสับสนจากภาพฝันอันแปลกประหลาด
หรือว่าความฝันทั้งหมดที่เกิดขึ้น…มันคือลางบอกเหตุบางอย่าง? ลางบอกเหตุถึงความไร้ความหมายของความสุขที่ได้มาง่ายๆ และความจริงที่ว่าโลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้ายที่ผมไม่อาจควบคุมได้ เหมือนกับการที่ผมไม่สามารถช่วยวิญญาณดวงนั้นได้เลย?
ความสับสนตีรวนอยู่ในหัว ผมลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปในความมืดมิดของยามเช้าตรู่ที่ยังคงมีเสียงหวอของรถฉุกเฉินดังแว่วมา ผมได้พรวิเศษมากมาย ได้สัมผัสความสุขสมในรูปแบบต่างๆ แต่ทำไมความรู้สึกว่างเปล่านี้ถึงยังคงอยู่? และทำไมฝันร้ายเหล่านั้นถึงยังตามหลอกหลอนผมอยู่กันแน่?