"อ้วน" หรือ "ผอม"ตามหลักทางการแพทย์
มีวิธีการพิสูจน์ง่ายๆ 3 วิธี คือ
1.เปรียบเทียบความสูงกับน้ำหนักตัวเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ผู้ชาย น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (เซนติเมตร) ลบ 100
เช่น ผู้ชายที่สูง 170 เซนติเมตร (ซม.) เมื่อนำมาลบด้วย 100
จะได้ผลลัพธ์ 70 คือ น้ำหนักตัวที่เหมาะสม
ผู้หญิง น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (ซม.) ลบ 110
เช่น ผู้หญิงที่มีส่วนสูง 160 ซม. เมื่อนำมาลบ ด้วย 110
จะได้ผลลัพธ์ 50 คือ น้ำหนักตัวที่เหมาะสม
2. หาค่าดัชนีมวลกาย (body mass index-BMI) มีวิธีคำนวณ คือ
ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักเป็นกิโลกรัม (กก.) หาร ความสูงเป็นเมตร 2 ครั้ง
เช่น คนที่น้ำหนัก 75 กก. และสูง 170 ซม. (1.7 เมตร)
จะมีดัชนีมวลกาย = (75 หาร 1.7) แล้วหารด้วย1.7 อีกครั้ง
= 25.9 กก.ต่อ ตารางเมตรอยู่ในเกณฑ์อ้วนระดับ 1
สำหรับค่าดัชนีมวลกายที่เหมาะสมมีดังนี้
ต่ำกว่า 18 ถือว่าผอม
18.5 - 22.9 รูปร่างปกติ
23.0 - 24.9 รูปร่างอ้วน
25.0 - 29.9 อ้วนระดับ 1
30 ขึ้นไป อ้วนระดับ 2
3. การวัดเส้นรอบเอว และสะโพก
การดูด้วยตาเปล่าเป็นสิ่งที่คุ้นเคย เป็นความรู้สึก ณ ตอนที่เห็น
เปรียบเทียบกับภาพอดีตที่ผ่านมา (อาจจะนานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือนานเป็นปีก็ได้)
แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึก ซึ่งหลายครั้งก็จะทักผิดทักถูก
การวัดเส้นรอบเอวเป็นมาตรฐาน นั่นคือวัดที่ระดับจุดกึ่งกลางระหว่างใต้ชายโครงและเหนือกระดูกสะโพก
ผู้ชาย ถ้าเส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว (90 ซม.) ถือว่าอ้วนลงพุง
ผู้หญิง ถ้าเส้นรอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว (80 ซม.) ถือว่าอ้วนลงพุง
ค่าสัดส่วนเอว และสะโพก = เส้นรอบเอว (เมตร) หาร เส้นรอบสะโพกที่ยาวที่สุด
กรณีผู้ใหญ่ (ชาย) ถ้าเกิน 1.0 ถือว่าอ้วนลงพุง
และผู้หญิง ถ้าเกิน 0.8 ถือว่าอ้วนลงพุง